ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา การลงทุนในหนี้สิน (Private Debt) ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากผลตอบแทนที่สูงกว่าการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทอื่น เช่น หุ้น หรือพันธบัตรรัฐบาล ซึ่งการลงทุนในหนี้สินนั้นสามารถให้ผลตอบแทนที่มั่นคงและเสถียร แต่ก็มีความเสี่ยงที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับการลงทุนในหนี้สิน (Private Debt) ว่าเป็นอย่างไร และนักลงทุนควรเตรียมตัวอย่างไรเพื่อรับมือกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น
1. Private Debt คืออะไร?
Private Debt หมายถึง การลงทุนในหนี้สินที่ไม่ได้ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ (ไม่เหมือนกับพันธบัตรที่สามารถซื้อขายได้ในตลาดเปิด) ซึ่งหมายถึงการให้กู้ยืมโดยตรงแก่บริษัทหรือองค์กรต่างๆ ที่อาจไม่ได้เข้าถึงแหล่งเงินทุนจากธนาคารหรือการออกพันธบัตรสาธารณะ นักลงทุนที่ลงทุนในหนี้สินประเภทนี้จะได้รับผลตอบแทนจากการรับดอกเบี้ยและอาจได้รับเงินต้นเมื่อครบกำหนด
หนี้สินในรูปแบบนี้อาจมีหลายประเภท เช่น การให้สินเชื่อแก่บริษัทขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) สินเชื่อเพื่อการซื้อกิจการ (Acquisition Financing) หรือหนี้ที่มีหลักประกัน (Secured Debt) ที่บริษัทใช้เป็นเงินทุนในการขยายธุรกิจ
2. ทำไมถึงควรลงทุนใน Private Debt?
การลงทุนใน Private Debt สามารถให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทอื่น เช่น หุ้นหรือพันธบัตรรัฐบาล โดยเฉพาะในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยต่ำหรือเศรษฐกิจมีความผันผวน นอกจากนี้ยังมีเหตุผลอื่นๆ ที่ทำให้ Private Debt เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุน
-
ผลตอบแทนสูง: เพราะหนี้สินประเภทนี้มักมีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าหนี้สินที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เนื่องจากบริษัทที่ขอสินเชื่อมักจะมีความเสี่ยงสูงกว่า
-
กระแสเงินสดที่มั่นคง: นักลงทุนได้รับผลตอบแทนจากการชำระดอกเบี้ยและสามารถได้รับการชำระเงินต้นเมื่อครบกำหนด ส่งผลให้เกิดกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอ
-
ความหลากหลายในการลงทุน: นักลงทุนสามารถเลือกลงทุนในหนี้สินประเภทต่างๆ ได้ตามความต้องการ เช่น สินเชื่อที่มีหลักประกัน สินเชื่อระยะสั้นหรือระยะยาว หรือสินเชื่อสำหรับการขยายธุรกิจ shutdown123
Comments on “การลงทุนในหนี้สิน (Private Debt): โอกาสและความเสี่ยงที่นักลงทุนควรรู้”